วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผิวคุณเป็นแบบไหน แต่ละแบบมีวิธีปฏิบัติไม่เหมือน นะจ๊ะ



มาทำความรู้จักลักษณะของผิวแต่ละชนิดกัน เพื่อเลือกปฎิบัติได้ถูกต้อง

ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส ก็ต้องแก้ปัญหากันที่ผิวชั้นบนๆ ซึ่งมีเรื่องของเส้นเลือดและเม็ดสี จะเป็นพลังงานกลุ่ม Bright ทั้งหลายที่โฟกัสเฉพาะเรื่องของเม็ดสีและเส้นเลือด

รูขุมขนกว้าง ไม่เรียบเนียน เป็นปัญหาเรื่องการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอิลาสตินซึ่งอยู่ในผิวชั้นกลาง หรือที่เรียกว่า Demis โครงสร้างผิวในชั้นนี้ ประกอบด้วยโปรตีนหลัก 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อคอลลาเจน (collagen) และเนื้อเยื่ออิลาสติน (elastin) ซึ่งเปรียบเสมือนดาวเด่นที่ขาดไม่ได้ในผิวสวย เพราะคอลลาเจนและอิลาสตินนี่แหละที่จะช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ประมาณว่าผิวจะสวยกระชับแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับดาวเด่นทั้งสองนี้เอง  ในอดีตเราก็ต้องใช้พลังงานที่โฟกัสลงไปที่ผิวชั้นนี้  เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ผิวก็จะฟูขึ้น แน่นละเอียด เต่งตึงขึ้นและแก้ปัญหาเรื่องรูขุมขนที่ก้วางออกให้กลับมาแน่นเนียนละเอียดอีกครั้ง 
ผิวหย่อนคล้อย อีกปัญหาหนึ่งต้องใช้พลังงานอีกชนิด ที่มีเป้าหมายไปที่ผิวชั้นลึก ซึ่งในบริเวณนั้นประกอบไปด้วยไขมันเป็นส่วนใหญ่ เราจึงเรียกผิวในชั้นนี้ว่า Fat Layer เซลล์ไขมันเหล่านี้ จะมีคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นล่างคอยยึดประสานโอบอุ้มเซลล์ไขมันอยู่อย่างหนาแน่น เมื่ออายุมากขึ้นคอลลาเจนและอีลาสตินที่คอยโอบอุ้มเซลล์ไขมันเหล่านี้ ก็เริ่มเสื่อสภาพเช่นกัน เป็นที่มาของรูปหน้าที่หย่อนคล้อย ไขมันที่เคยเฟิร์มก็หย่อนใบหน้าที่เคยได้รูปสวยงามก็ป้านออก ในอดีตก็ต้องใช้พลังงานที่ลงลึกถึงชั้นไขมันเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน เพื่อให้คอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นนี้กลับมาตึงอีกครั้งก็จะโอบอุ้มไขมันได้ดีขึ้น ผิวก็จะกลับมากระชับได้รูป แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยให้หมดไป

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผิวสวย เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์สดใส ใครต้องการยกมือขึ้น



 สุขภาพผิวที่ดีใครใครก็ต้องการ แต่วิธีทำให้หน้าใส ที่ได้ผลคืออะไร
               สุดยอดปรารถนาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ที่แสดงออกมาทางริ้วรอย ความหยาบกร้าน ความหมองคล้ำที่มาเยือน ย่อมเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะคนเมืองที่ต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดด มลภาวะ และความเครียดต่างๆ รวมถึงวิถีการกินที่เปลี่ยนเป็นชนิดสะดวกซื้อเพื่อสะดวกรับประทาน
                ทุกคนจึงพยายามเสาะหาวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมชราของร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์มีความก้าวหน้าไปมาก มีวิธีทำให้หน้าใส มีทางเลือกมากมาย เช่น การบำรุงผิวโดยใช้เวชสำอางค์ ไปจนถึงการนำเทคโนโลยี ทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ามาใช้ เช่น การทำเลเซอร์ การฉีดสารเพื่อเติมร่องริ้วรอยและการทำศัลยกรรมต่างๆ เป็นต้น ซึ่งในการรักษาบางวิธีอาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงที่ไม่คุ้มกับผลลัพธ์ หรืออาจจะพบผลข้างเคียงได้
                ดังนั้นอาหารเสริมบำรุงผิวขาว จึงเป็นทางเลือกอีกรูปแบบหนึ่งที่สะดวก
ความอ่อนเยาว์เปล่งปลั่งความเสื่อมของผิวพรรณ
และได้รับความนิยมในการดูแลสุขภาพผิว  และต้านอนุมูลอิสระ ล่าสุดกับการค้นพบ “แอสตาแซนธิน” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสีแดงที่สกัดมาจากสาหร่าย ฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส ซึ่งเป็นสาหร่ายขนาดเล็กที่เป็นต้นกำเนินของห่วงโซ่อาหารพบได้ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย พบว่าสารแอสตาแซนธินมีค่าการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซี 6,000 เท่า และสูงกว่าโคเอนไซม์คิวเทน 800 เท่า ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยตัวต้านอนุมูลอิสระจะช่วยเสริมการกำจัดอนุมูลอิสระของร่างกาย ซึ่งช่วยปกป้องร่างกายและผิวพรรณให้คงความอ่อนเยาว์ได้นานยิ่งขึ้น
                จากผลการวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่ทำการศึกษาประโยชน์ของสารแอสตาแซนธินด้านผิวพรรณ ในอาสาสมัครเพศหญิงสุขภาพดี จำนวน  49  คน ต่อเนื่อง “ ผลการวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่ทำการศึกษาประโยชน์ของ สารแอสตาแซนธินด้านผิวพรรณ  พบว่า  อาสาสมัครรู้สึกว่า สุขภาพผิวดีขึ้น คือ ความแห้งและหยาบกระด้างของผิวลดลงผิวมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยลดลง”
เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า อาสาสมัครรู้สึกว่าสุขภาพผิวดีขึ้น คือความแห้งและหยาบกระด้างของผิวลดลง ผิวมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นมากขึ้น ริ้วรอยลดลง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า แอสตาแซนธิน จะช่วยยับยั้งผลของรังสียูวีเอ จึงอาจกล่าวได้ว่า แอสตาแซนธินสามารถต้านรังสียูวีเอ ที่มีผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ผิว จึงอาจช่วยป้องกันผิวเหี่ยวย่น และริ้วรอยได้
                แม้ว่าอาหารเสริมบำรุงผิวขาวจะเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้เราคงความอ่อนเยาว์และความเปล่งประกายของผิวพรรณไว้ได้ แต่หากปฏิบัติควบคู่กับการดูแลร่างกายด้านอื่นๆ ด้วย เช่นการดื่มน้ำมากๆ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่โดยเฉพาะผักผลไม้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงมลภาวะต่างๆ  เช่น แสงแดด  ควันบุหรี่ ความเครียด เพื่อช่วยให้เกิดอนุมูลอิสระน้อยที่สุด  ซึ่งจะเห็นได้ว่าการชะลอความเสื่อมถอยของผิวพรรณไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยการมีวินัย และความสม่ำเสมอ ตลอดจนรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงจากธรรมชาติอย่างเพียงพอควบคู่กันไป

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีตรวจสอบ ในครีมหน้าใส แบบง่ายง่าย



ปัจจุบัน ใครก็อยากมีหน้าขาว ใส ทั้งผู้หญิงหรือผู้ชาย เด็ก วัยรุ่น หรือ ผู้สูงวัย 

การมีใบหน้าที่ขาวใส บ่งบอกถึงความอ่อนเยาว์ ดูดีมีฐานะ ทำให้ทุกคนก็ต้องการ โดยบางครั้งลืมนึกถึงผลที่ใช้โดยไม่เลือกว่าดีจริงหรือไม่ 

ครีมหน้าขาวใส มีอยู่มากมายหลากหลาย ประการหนึ่งที่เราจะซื้อ เบื้องต้น ต้องเลือกที่เป็น ครีมหน้าใส ที่มีอย เท่านั้น ส่วนคุณภาพ หรือ สารผสมอย่างดี ค่อยว่ากันอีกที อย่างไรก็ตาม ก็มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสนำสารที่เป็นส่วนผสมต้องห้ามจาก อย. อย่างสารปรอท ผสมลงไปในครีมหน้าใสด้วย เพราะสารปรอทมีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีของพื้นผิวหนัง ทำให้หน้าขาวเร็วทันใจภายในระยะเวลาไม่นาน แต่สารปรอทก็มีการออกฤทธิ์ที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น กระตุ้นให้ผิวหนังแบ่งเซลล์เร็วขึ้น ทำให้ผิวหนังที่หยาบ แห้งกร้านหลุดลอกเร็วกว่าปกติ ทั้งนี้เพราะสารปรอทจัดว่าเป็นโลหะหนัก มีโทษเป็นพิษ เมื่อร่างกายรับเอาสารปรอทเข้าไปเป็นจำนวนมาก จะทำให้เกิดผลเสียมากมาย อาทิ มีอาการแสบร้อน ผิวหน้าแดง มีผดผื่นขึ้นบริเวณที่มา ผิวหน้าบางลง ไวต่อแสงแดด เกิดฝ้าถาวร และเมื่อมีการสะสมของสารปรอทในร่างกายเป็นเวลานานๆ สารปรอทปริมาณสูงนี้จะทำลายระบบประสาทและสมอง รวมถึงอาจจะเกิดเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ด้วย
วิธีการตรวจสอบสารปรอทในครีมหน้าใสแบบง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเอง สามารถทำได้ดังนี้
-          ผสมน้ำกับผงซักฟอก ให้เป็นลักษณะข้นๆ คล้ายครีม
-          ป้ายครีมหน้าใสที่ต้องการจะตรวจสอบลงบนกระดาษทิชชู่
-          เทผงซักฟอกที่ผสมกับน้ำลงบนครีม แล้วรอประมาณ 5 นาที ถ้าครีมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ก็แสดงว่าครีมนั้นมีสารปรอทผสมอยู่



ไม่ควรเลือกใช้ครีมหน้าใสที่มีการโฆษณาเกินจริง ว่าสามารถขาวขึ้นได้ใน 3-7 วัน ถ้าเจอครีมหน้าใสที่มีการชวนเชื่อดังกล่าว ให้สงสัยได้เลยว่ามีการผสมสารปรอทลงไปแน่ๆ และอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหน้าของคุณ การคิดคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนอกจากความต้องการที่จะมีสุขภาพผิวหน้าที่สวยสดใสแล้ว คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า การมีสุขภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาว ก็เป็นเรื่องที่ผู้คนต้องการด้วยเช่นกัน เลือกครีมหน้าใส ที่มี อย เท่านั้น
 

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หน้าร้อน อากาศร้อน อุปสรรคสำคัญเพื่อผิวสวย

ดังนั้นเราควรมีวิธีดูแลผิวเพื่อสู้แสงแดดและอุณหภูมิที่ร้อน เพื่อให้ผิวขาว อย่างต่อเนื่องโดย เริ่มจาก
-          ทาครีมกันแดด     แน่นอน ครีมกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลย ควรทาครีมกันแดดบริเวณผิวส่วนที่พ้นร่มผ้าทุกวัน และควรเลือกชนิดที่มีค่าเอสพีเอฟสูงอย่างน้อย 30 ขึ้นไป
-          ดื่มน้ำสะอาด     อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพราะความร้อนจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ดื่มน้ำเยอะๆเข้าไว้ผิวจะไม่ขาดความชุ่มชื่นนะครับ
-          กินผลไม้เป็นประจำ     นอกจากจะทำให้ร่างกายสดชื่นและช่วยคลายความร้อนแล้ว วิตามินและสารแอนติออกซิแดนต์ในผลไม้ยังช่วยต่อต้านรังสียูวี ป้องกันผิวจากการถูกทำร้ายได้
-          ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น แว่นกันแดด เสื้อแขนยาว หรือหมวก เพื่อช่วยป้องกันแสงแดด เพิ่มความปลอดภัยให้กับผิวพรรณ เนื่องจากครีมกันแดดอาจไม่เพียงพอสำหรับแดดแรงๆอย่างบ้านเรา
-          เลี่ยงการขัดผิว ขัดตัวช่วงหน้าร้อน เพราะการขัดตัวจะทำให้ชั้นขี้ไคลหลุดออกมา ซึ่งขั้นขี้ไคลทำหน้าที่ช่วยกรองแสงแดดและป้องกันการระคายเคืองผิว ดังนั้นจึงควรงดเข้าสปาขัดผิดช่วงหน้าร้อนเพื่อให้ผิวมีชั้นขี้ไคลไว้ป้องกันแสงแดดไม่ให้มาสัมผัสผิวชั้นในของเรา ให้ผิวขาว อยู่เสมอ
-          เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์และกาแฟอีน เนื่องจากเครื่องดื่มประเภทนี้จะทำให้ร่างกายขาดน้ำมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนที่ผิวมีแนวโน้มสูญเสียความชุ่มชื่นอยู่แล้ว
-          ไม่ควรแต่งหน้าหนาหรือแต่งหน้ามากเกินไป เพราะช่วงหน้าร้อนต่อมไขมันจะทำงานมาก หน้าจะมันมากกว่าปกติ การแต่งหน้าหนาเกินไปยิ่งจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
-          ควรหลีกเลี่ยงการออกไปเผชิญแสงแดดในช่วง 10.00น.-15.00น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดและแสงยูวีแรงมาก
-          ควรรีบล้างหน้าด้วยน้ำเย็น แล้วทาครีมบำรุงผิวตามทันทีเพื่อกักเก็บความชุ่มชื่นให้ผิวและลดการระคายเคือง หลังจากออกไปสัมผัสแดดแรงๆ

หน้าร้อนนี้ขอให้มีความสุขกาย สุขใจ และมีผิวขาวกันถ้วนหน้านะครับ