วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีการเลือกคอลลาเจนที่ดี


คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีหน้าที่เพื่อเสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบเนียน สำหรับวัยหนุ่มสาว คอลลาเจนที่มีอยู่ในชั้นผิวหนังยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้มีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้น เส้นใย collagen เหล่านี้จะเกิดการเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง เป็นสาเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย ยิ่งสูงวัยขึ้นเท่าไร ริ้วรอยแห่งวัยก็เห็นชัดขึ้นเท่านั้น ริ้วรอยแรกที่มาเยือนและเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ รอยตีนกา เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตามีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึด ผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวมากกว่าที่อื่น
นอกจากนี้คอลลาเจนยังเป็นตัวช่วยให้ผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น เสริมความเรียบตึงให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนกระชับ โดยทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ อิลาสติน” ( Elastin ) ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว ส่วยอีลาสตินก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิวควบคู่กันไปด้วย โดยพบว่าคนที่มีอายุ 25 ขึ้นไป จะมีปริมาณคอลลาเจนลดลงทุกปี อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้างคอลลาเจนให้ร่างกายได้ โดยการรับประทานคอลลาเจนเสริมให้ร่างกายเพื่อช่วยสร้างความแข็งแรงของชั้นผิวหนังและเสริมให้กระดูกแข็งแรง เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้
ปัจจุบัน มีคอลลาเจนให้เลือกซื้อ เลือกใช้กันมากมายหลายชนิด ซึ่งมีวิธีการเลือกคอลลาเจนที่ได้คุณภาพ ดังนี้
1.       ควรเลือกบริโภคคอลลาเจนประมาณ 5,000-10,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสามารถสังเกตได้จากปริมาณที่ระบุบนซอง ทั้งนี้ เพราะร่างกายคนเราใน 1 วัน สามารถรับคอลลาเจนได้ประมาณ 5,000 กรัมเท่านั้น หากได้รับเกินกว่านี้ก็จะถูกขับออกจากร่างกายไป
2.       ควรเลือกคอลลาเจนที่สกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึก เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าสกัดมาจากสัตว์ชนิดอื่นๆ ดังนั้น จึงควรอ่านฉลากบนซองให้ละเอียด ว่าเป็นคอลลาเจนที่สกัดมาจากอะไร
3.       ควรเลือกคอลลาเจนที่มีโมเลกุลต่ำ เพราะเป็นคอลลาเจนที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่า Collagen ที่มีโมเลกุลสูงๆ ซึ่งก็ควรจะสังเกตจากฉลากบนซองเช่นกัน
4.       ควรเลือกคอลลาเจนที่มีส่วนผสมของวิตามินซีร่วมด้วย เพราะวิตามินซีจะช่วยกระตุ้นให้คอลลาเจนดูดซึมได้ดีขึ้นและยังช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนด้วยตัวเองได้ดีขึ้นอีกด้วย
5.       ควรเลือกคอลลาเจนที่มีส่วนผสมเสริมอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์ด้วย เช่น วิตามินต่างๆ โฟเลท หรือโคเอนไซม์Q10 ลงไปด้วย เพื่อช่วยในเรื่องของการดูดซึมไปใช้ในร่างกายของเราและเรื่องการต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดเลือนริ้วรอยได้

6.       คอลลาเจนแบบน้ำ จะดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนแบบผง อีกทั้งไม่มีการตกค้างในท้องด้วย แม้ว่าจะมีคุณประโยชน์เหมือนกันก็ตาม 

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ครีมผิวขาว มีส่วนผสมอะไร บ้าง

ในปัจจุบัน ครีมหน้าขาวนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก และมีวางขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ก็มีส่วนประกอบของสารสำคัญที่ทำให้ผิวขาวแตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการโฆษณาชวนเชื่อจนเกินความเป็นจริง ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่หลงเชื่อและซื้อครีมหน้าขาวที่ไม่ได้คุณภาพไปใช้จนเกิดเป็นปัญหามากมาย โดยส่วนผสมสำคัญของครีมหน้าขาว ก็คือ ไฮโดรควิโนน เป็นสารเคมีอย่างหนึ่งที่ใช้ในการเตรียมครีมที่ทำให้หน้าขาวเนื่องจากเห็นผลได้เร็ว ไฮโดรควิโนนออกฤทธิ์ในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนังหรือ ที่เรียกว่า เมลานิน จึงมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นได้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ หรือรอยด่างดำที่เกิดจากสิว และจะต้องมีเปอร์เซ็นต์ของตัวยาที่อน่นอนระบุอยู่บนฉลากยาด้วย นอกจากนี้ ควรใช้ในปริมาณที่จำกัด ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน และไม่ควรหยุดยาทันที เพราะจะทำให้ผิวหนังเร่งผลิตเซลล์เม็ดสีมาทดแทน จนส่งผลให้ผิวคล้ำลงกว่าเดิม นอกจากนี้ ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด ซึ่งหากทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิมได้     
                               
ในปัจจุบันนี้ ไฮโดรควิโนนได้ถูกสั่งห้ามใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป อย่างไรก็ตาม ในคลินิกที่จ่ายยารักษาลดฝ้าโดยแพทย์ยังสามารถจ่ายให้ผู้ป่วยได้ตามความเหมาะสมตามดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กำหนดให้ผสมสารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2% แต่ผู้ใช้ต้องระวังการหาซื้อครีมหน้าขาวจากคลีนิคที่ไม่ได้มาตรฐานเพราะจะมีการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนในปริมาณสูงมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 3-5% ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายและผลข้างเคียงจากการใช้สารไฮโดรควิโนนสูงเกินไป ทั้งนี้ ผลข้างเคียงจากการใช้อาจจะมีตั้งแต่การระคายเคืองบริเวณที่ใช้ครีม เกิดจุดด่างขาว เป็นฝ้าถาวร เกิดโรคผิวหนัง เกิดตุ่มนูนดำ และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือน อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนัง และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย

ดังนั้น ผู้บริโภค จึงควรตรวจสอบก่อนการเลือกซื้อด้วยความระมัดระวัง และควรสังเกตฉลากเป็นลำดับแรก โดยฉลากที่ถูกต้องจะต้องเป็นภาษาไทย มีข้อความบังคับครบถ้วน (ชื่อ ประเภทผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ วิธีใช้ ชื่อที่ตั้งแหล่งผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และปริมาณสุทธิ) และควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ไม่ควรซื้อเพราะคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้ เข้าใจ ก่อนใช้ ครีมหน้าขาว จึงจะได้ผลสุด สุด

โดยทั่วไปแล้วจุดประสงค์ของการใช้ครีมหน้าขาวมีอยู่ 2 ประการ ได้แก่การทำให้ผิวขาวใสขึ้น และการทำให้สีผิวเสมอกัน ช่วยลดจุดด่างดำและทำให้ฝ้าจางลง ครีมหน้าขาวหรือไวเทนนิงครีมมีส่วนผสมของ สารออกฤทธิ์ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี โดยจะออกฤทธิ์ตั้งแต่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์การสร้างเม็ดสี ทำลายเอนไซม์ การสร้างเม็ดสี ต้านการกระจายตัวของเม็ดสีที่ถูกสร้างขึ้น แล้วมิให้กระจาย ไปตามเซลล์ผิวหนัง และกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังที่พัฒนาไปเป็นจุดด่างดำเรียบร้อยแล้วให้หลุดลอกออกไปเร็วขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว สารออกฤทธิ์ที่นิยมใส่ลงไปในครีมหน้าขาวจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
1. สารยับยั้งก่อนกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เตรติโนอิน (Tretinoin)
2. สารยับยั้งระหว่างกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ แอสคอร์บิก เอซิด (Ascorbic Acid) แอสคอร์บิค เอซิด พาลมิเทต (Ascorbic Acid Palmitate) อาร์บูติน (Arbutin) อาเซเลอิก เอซิด (Azelaic Acid)
3. สารยับยั้งหลังกระบวนการสร้างเม็ดสี ได้แก่ เรติโนอิก เอซิด (Retinoic Acid) แล็กติก เอซิด (Lactic Acid) มิลค์ เอกเซแทรคต์ (Milk Extract) ไลโนเลอิก เอซิด (Linoleic Acid)

แต่อย่างไรก็ตาม ครีมหน้าขาวชนิดหนึ่งๆจะช่วยแก้ปัญหาฝ้ากระ และจุดด่างดำที่เกิดขึ้นในผิวชั้นตื้นๆ เท่านั้น และการใช้ได้ผลดีหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาผิวที่คุณเป็นอยู่ ส่วนผสม และปริมาณ ความเข้มข้นของสารที่ใช้ในครีม ครีมชนิดหนึ่งอาจมีการโฆษณาว่ามีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้น แต่ส่วนผสมดังกล่าวมีปริมาณความเข้มข้นไม่เพียงพอจนไม่อาจออกฤทธิ์เพื่อรักษาปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาผิวดังกล่าวเกิดขึ้นในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไปด้วยแล้ว ไม่ว่าครีมหน้าขาวชนิดนั้นจะมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพดีและเข้มข้นสักเพียงใด ก็ไม่สามารถ รักษาอาการดังกล่าวให้หายดีดังเดิมได้

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สภาพผิว ที่ควรจะเป็นในช่วง อายุแต่ละวัย


บำรุงผิวขาว


ผิวของคุณแก่เร็วแค่ไหน
ความเสื่อมโทรมของผิวพรรณเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถชะลอได้ด้วยการปรนนิบัติผิวของเราอย่างถูกต้อง และเหมาะสม ด้วยการบำรุงผิวขาว อย่างถูกต้อง กระบวนการเสื่อมโทรมตามธรรมชาติของผิวก็จะดำเนิน ไปช้าลง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้คือตารางแสดงลำดับของความเสื่อมโทรมตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณ ด้วยการเปรียบเทียบอายุจริง คุณจะทราบได้ทันทีว่าในขณะนี้ผิวพรรณของคุณมีสภาพเป็นเช่นไร ริ้วรอย หรือความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนให้คุณทราบว่าถึงเวลาแล้วที่คุณควรหันมาใส่ใจผิวพรรณอย่างถูกวิธีเสียที
v อายุน้อยกว่า 15 ปี
สภาพผิว ผิวสวยใส เรียบเนียน กระชับเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย และมีรูขุมขนเล็ก
v อายุ 15-25 ปี
สภาพผิว มีความมันขึ้นประปราย รูขุมขนเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มมีริ้วรอยตื้นๆ เกิดขึ้นบ้างแต่เล็กน้อย
v อายุ 25-45 ปี
สภาพผิว เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น ริ้วรอยเริ่มลึกกว่าเดิม เริ่มเกิดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา มีรอยย่นบริเวณหน้าผาก ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ผิวเริ่มหยาบ ขาดความชุ่มชื้น ในบางรายอาจพบสิวประปราย
v อายุ 45-55 ปี
สภาพผิว ริ้วรอยเริ่มเพิ่มและลึกมากขึ้น มีรอยบวมรอบๆ ดวงตา รูขุมขนขยายตัว มีริ้วรอยรอบดวงตาและแก้ม ความเปล่งปลั่งของผิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวเริ่มซีด เหลือง
v อายุ 55 ปีขึ้นไป

สภาพผิว ร่องรอยแห่งวัยเพิ่มมากขึ้นและลึกยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความกระชับเต่งตึงของผิวหายไป ผิวเริ่มหย่อนยาน มีรอยบวมใต้ดวงตา มีกระและจุดด่างดำบนผิวหนัง ผิวใต้ตามีสีคล้ำลงเรื่อยๆ ความเรียบเนียนของผิวหายไป มีรอยย่นที่คอ ผิวหยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น มีรอยย่นรอบริมฝีปาก